ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ดอก ดอกสีม่วงแกมขาวหรือสีชมพูอมม่วง ออกเป็นช่อแบบช่อแยกแขนง ตามซอกใบบริเวณกิ่งและปลายกิ่ง ลักษณะช่อแขนงค่อนข้างโปร่ง แต่ละช่อมีดอก 15-20 ดอก ดอกตูมสีน้ำตาลเข้มหรือม่วงดำ กลีบเลี้ยงเชื่อมติดกันคล้ายรูประฆังสีม่วงดำมีขนอ่อนปกคลุม ยาว 0.4-0.5 ซม. ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก กลีบดอกสีม่วงแกมขาวหรือสีชมพูอมม่วง ลักษณะกลีบดอกเหมือนดอกถั่วมี 5 กลีบ 4 กลีบมีรูปร่างยาวรีรูปขอบขนาน กว้าง 0.3-0.5 ซม. ยาว 1.0-1.5 ซม. และอีก 1 กลีบมีรูปร่างกลมบิดม้วน กว้าง 1.5 ซม. ยาว 1.8-2.0ซม. ดอกบานเต็มที่ กว้าง 1.5-2.0 ซม. มีเกสรเพศผู้ 10 อัน
|
ใบใบประกอบแบบขนนก ปลายคี่ ออกเรียงเวียนสลับ ใบย่อยเรียงตรงกันข้าม 6 - 10 คู่ ก้านใบยาว 5 - 7 ซม. โคนก้านใบบวม ใบย่อยรูปขอบขนานหรือรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก กว้าง 1.5 - 2.2 ซม. ปลายแหลมทู่ โคนใบมนเบี้ยวเล็กน้อย ขอบใบเรียบ แผ่นใบด้านบนหรือหลังใบสีเขียวเข้ม ด้านล่างหรือท้องใบสีจางกว่า เส้นแขนงใบแตกไม่เป็นระเบียบ ก้านใบและก้านใบย่อยมีขนอ่อนสั้นปกคลุม ใบอ่อนหรือยอดอ่อนสีน้ำตาลอมแดงมีขนปกคลุม
|
กิ่งก้านเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูง 8-15 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มโปร่งและกว้าง
|
เพิ่มเติม
ผล เป็นฝักแห้งแตก ลักษณะแบนรูปขอบขนานปลายแหลม ขอบฝักเป็นสันหนาและแข็ง เปลือกหนา ส่วนปลายและกลางกว้างกว่าส่วนโคนฝัก ฝักอ่อนสีเขียว เมื่อแก่มีสีน้ำตาลอมเหลือง และสีน้ำตาลดำผิวเกลี้ยงเป็นมันคล้ายแผ่นหนัง เมื่อแก่เต็มที่จะแตกออกภายในฝักมีเมล็ด 3-5 เมล็ด
|
ประโยชน์ เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้าง ทำด้ามเครื่องมือ แกะสลัก ทำดินสอ และเยื่อกระดาษ ใบอ่อนรับประทานได้ นิยมปลูก เป็นไม้ดอกสวยงามประเภทไม้ยืนต้นตามบ้าน ตามสำนักงาน สวนสาธารณะ รีสอร์ตทั่วไป เวลามีต้นสูงใหญ่จะให้ร่มเงาสร้างระบบนิเวศได้ดีและมีดอกสวยงามมาก ประโยชน์ทั่วไป ในยุคสมัยก่อน เนื้อไม้ใช้ทำฟืน
|